ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่าไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษอะไรขนาดนั้น ไม่เคยไปใช้ชีวิตต่างประเทศ ไม่ได้เรียน Inter แล้วก็สังคมที่อยู่ปัจจุบันไม่มีฝรั่งอยู่เลย T-T Status ตอนนี้ขอเรียกว่าตัวเองอยู่ในระดับปานกลางละกัน คือ อ่าน, ฟังรู้เรื่อง เขียนพอได้ ส่วนการพูดอยู่ในระดับที่สื่อสารเข้าใจ แต่ค่อนข้างติดขัด และ Grammar มั่วไปหมด
ส่วนตัวคิดว่าเรื่องภาษาเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งเป็น Developer แล้วยิ่งจำเป็นมากขึ้นไปใหญ่ ดังนั้นส่วนตัวเลยไปริลองมาหลายวิธีมากๆ วันนี้เลยอยากเอามาแชร์ให้ทุกคนกัน เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์นะครัช
ปรับเปลี่ยน Mindset ใหม่เสียก่อน

สิ่งแรกที่สุดไม่ว่าเราจะเริ่มทำอะไรก็ตาม เราต้องเปลี่ยน Mindset ของตัวเองก่อน สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจว่า Mindset คืออะไรสั้นๆเลย มันคือ "วิธีการคิด ความเชื่อ และทัศนคติ ที่เป็นตัวกำหนดความคิด และการตัดสินใจของเรา"
ถ้าแบ่งประเภทหลักๆเลยจะมี 2 ประเภทที่ได้ยินกันบ่อยๆคือ Growth Mindset และ Fixed Mindset คิดว่าน่าจะพอเดาจากชื่อกันได้อยู่แล้วใช่ไหม!? ถ้าใครสงสัยก็ลองไปค้นกันดูได้ครับ 55 เอาเป็นว่า เราต้องเชื่อก่อนว่าเราสามารถที่จะเรียนรู้อะไรก็ได้ แม้กระทั่งเรื่องภาษาที่เป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลายๆคนรวมถึงตัวเราเองด้วย
สุดท้ายนี้ใครอยากอ่านเกี่ยวกับเรื่อง Mindset เพิ่มเติม แนะนำบล็อกของพี่ NuuNeoi เลยครับ เขียนเอาไว้ดีมากๆ สนใจอยากอ่านต่อคลิกเลย 👈
เริ่มต้นฝึกยังไงดี!?

จำไม่ได้ละว่าใครพูดเอาไว้ แต่เคยได้ยินมาว่า การฝึกภาษา มันไม่ได้เหมือนกับการอ่านหนังสือสอบที่เราสามารถท่อง หรือทำความเข้าใจแล้วเอาไปใช้ได้เลย แต่การจะเก่งได้ มันเกิดจากการซึมซับและอยู่กับมันเป็นระยะเวลานึง
ดังนั้นวิธีการของผมจะไม่ได้เป็นการที่เราต้องไปเรียน Grammar หรือนั่งท่องศัพท์ให้ปวดหัวแต่อย่างใด แต่เป็นการ ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้ผสมผสานไปกับภาษาที่เราสนใจศึกษาไปเลย หรือพูดง่ายๆคือ สร้าง Habit ขึ้นมานั่นเอง
ด้านล่างนี้เป็นวิธีการที่ผมลองทำอยู่ แล้วมัน Work เลยเอามาลองแชร์กันครับ
🍿 Netflix
วิธีการที่เราแนะนำ และทุกคนแนะนำอย่างแรกเลยคือ Netflix ซึ่งราคาถูกมากๆ หารกับเพื่อน 4 คน ตกเดือนละ 105 บาทเท่านั้น GG Easy ;w; ได้ฝึกทั้งเรื่องการฟัง คำศัพท์ และ ได้รู้จักคำพูดต่างๆที่อ่านในบทความจะไม่ค่อยได้เห็น เช่น Conversation หรือคำ Slang ต่างๆ
วิธีการฝึกของเราคือ เราจะสร้าง Habit หรือบังคับตัวเองไปเลยว่า ไม่ว่าเราจะเปิด Netflix ดูตอนไหนก็ตามแต่ จะเปิดแต่ Sub Eng เท่านั้น เป็นกฏข้อเดียวที่ต้องรักษาไว้ให้ได้ ซึ่งตอนแรกๆก็จะหงุดหงิดหน่อย แต่หลังๆเริ่มชิน (ผ่านไปประมาณ 2 Weeks)
แล้วถามว่าฟังไม่ทันทำไง!? ก็หยุดแล้วก็เข้า Google Translate สิครับ EASY (ถ้าใครดูในคอมก็จะสะดวกหน่อย หรือถ้าดูในโทรศัพท์ก็จดลงกระดาษ แล้วไปแปรก็ได้เช่นกัน)
ส่วนถ้าใครนอนอยู่บ้านคนเดียว ดู Netflix เพลินๆ ก็ลองพูดตามด้วย มันจะทำให้เราออกเสียงชัดขึ้น และดึงคำในหัวออกมาได้ไวขึ้น
🔥 จริงๆ Netflix นี่เป็นดาบสองคมเหมือนกันนะ ระวังอย่าดูจนงานการไม่ทำหละ (ส่วนตัวเคยมาแล้วที่ดู Series จบ 12 ตอนภายใน 1 วันแบบ Break แตกมากๆ) แนะนำให้ดูเวลาที่เราพักผ่อนอยู่ เช่น ตอนกินข้าว หรือ ก่อนนอน เป็นต้น
👨🏻💻 Turn Everything into English
Point หลักๆของหัวข้อนี้เลยคือการปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเองให้ชินกับภาษามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอ่านบทความ จากปกติที่เราอาจจะติดตามแค่เว็บไทย เราก็เปลี่ยนไปอ่านเนื้อหา หรือข่าวของต่างประเทศมากขึ้น เช่นด้วย MIT Technology Review, Bloomberg หรือพวก WIRED เป็นต้น
อีกอย่างคือเรื่องการค้นหาข้อมูล ในแต่ละวันแน่นอนว่าเรามีเรื่องที่ต้องค้นใน Google เยอะมาก เราก็แค่เปลี่ยนการค้นหาเหล่านั้นเป็นภาษาอังกฤษซะ Easy!
🔥 ข้อดีหลักๆคือเราจะได้คำศัพท์เพิ่มจากการอ่านค่อนข้างเยอะ อีกอย่างคือถ้าเป็นเนื้อหาของต่างประเทศเลย ส่วนใหญ่จะได้เนื้อหาที่ค่อนข้างไว และทันสมัยมากกว่าด้วย ข้อเสียมีอย่างเดียวคือคนที่พึ่งทำใหม่ๆอาจจะไม่ชิน แต่ก็ค่อยๆปรับกันไปเนอะ
👩👦👦 Language Exchange Meetup
อันนี้เป็นอีกอันที่ค่อนข้างเจ๋ง แต่คิดว่าหลายๆคนยังไม่เคยลอง คือไปเข้า Meetup ที่เป็น English Exchange Meetup อันนี้เคยไปเข้าอยู่ตอนช่วงที่ฝึกงานอยู่ Wongnai ตอนเย็นๆว่างพอดีก็เลยลองแวะไปดู
ตอนไปแรกๆก็เกร็งๆหน่อย แต่ทุกคนค่อนข้าง Nice และเป็นกันเองมาก นอกจากนี้ก็ได้เจอคนจากหลายๆประเทศ จากหลายๆ Background ด้วยเช่น เยอรมัน, US, UK, Japan ไรงี้ ได้เจอคนหลากหลายดี เช่นเป็น Developer, นักเต้น, นักเดินทาง หรือแม้ประทั่งนักธุรกิจ
ใครสนใจลองเปิด Application ที่ชื่อ Meetup ดูครับ มีหลาย Community มากๆ และคนต่างชาติเล่นกันค่อนข้างเยอะ เลยทีเดียว
🔥มางานแบบนี้จะไม่ค่อยได้คำศัพท์เท่าไหร่ แต่หลักๆจะได้ฝึก การคิดคำมาโต้ตอบ ทำให้เราสามารถดึงคำศัพท์ในหัวออกมาใช้ได้คล่องมาขึ้น ข้อเสียหลักๆคือต้องเดินทาง สำหรับสายขี้เกียจเจอรถติดแบบเราๆแล้วคงคิดหนักนิดนึง
✈️ Travel Aboard
อันนี้เหมาะสำหรับคนที่มีงบพอสมควร แต่ส่วนตัวไม่เคยได้ลองวิธีนี้เหมือนกัน แต่ก็เคยไป JSConf Asia ที่ Singapore อยู่รอบนึง ประมาณ 5 วัน ตอนนั้นจำได้ว่าไปเที่ยวก่อนด้วยประมาณ 1-2 วัน จำได้ว่าใช้แอพ Meetup นี่หละในการหา Meetup + Community ไป Join แนะนำว่าใครไปเที่ยวที่ไหนแล้วก็ลองไป Join Community ที่นั่นดูนะครับ
🧠 Think in English
อันนี้เป็นอีกวิธีช่วยที่ทำให้เราสามารถนึกคำศัพท์ออกมาโต้ตอบได้ไวขึ้น นั่นก็คือการคิดเป็นภาษาอังกฤษเลย แต่บางทีมันก็ยาก แล้วก็ติดๆขัดๆ วิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ ถ้าเวลาว่างๆ หรือเวลาเราคุยกับเพื่อน ก็จะลองคิดเล่นๆว่า "ถ้าแปลงเป็นภาษาอังกฤษแล้วมันจะพูดว่ายังไงว่ะ?" แล้วก็ลองไปค้น Google ดู
Tools ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

Give me six hours to chop down a tree and i will spend the first four sharpening the axe - Abraham Lincoln
การรู้ Tools หรือเครื่องมือ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ และเป็นตัวที่จะทำให้เราสามารถทำงานได้เร็วขึ้นหลายเท่า ดังนั้นในส่วนนี้ผมจะมาแนะนำ Tools เจ๋งๆที่ทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากขึ้นกันครับ
Google Translate - Chrome Extension

Tool แรกที่อยากแนะนำเลยคือ "Google Translate - Chrome Extension" มันเป็น Extension ที่ทำให้เราสามารถคลิก Text ตรงไหนก็ได้บนหน้าเว็บแล้วกดแปลได้เลย ซึ่งมันจะทำให้เราประหยัดเวลามากๆ และไม่ต้องเสียเวลา Switch หน้าไปพิมใน Google Translate ให้หงุดหงิด
Grammarly

คิดว่าอันนี้หลายๆคนคงเคยเห็นผ่านหูผ่านตาจาก YouTube Ads กันบ้าง นั่นก็คือ "Grammarly" นั่นเอง เป็นแอพที่จะช่วยแก้คำผิด และ Grammar ให้เราเวลาเขียนภาษาอังกฤษ
แล้วยิ่งมี Extension นี่สะดวกเข้าไปใหญ่ คือพิมที่ไหนก็ได้เลย แล้วเดี๋ยวมัน Auto Correct ให้ ไม่ว่าจะเป็นการโพส Facebook, เขียนบทความ หรือ Take Note ในเว็บต่างๆ
Netflix Multi-subtitle Extension

เป็นอีก Extension นึงที่เจ๋งดีก็คือ "Netflix Multi. Subtitles Extension" เป็น Extension ที่ทำให้เราดู Multi-subtitle ได้เลยในคราวเดียว เช่นที่เคยดูก็เปิด ไทย-อังกฤษ มันพร้อมกันเลย จะได้ไม่ต้องแปลบ่อยๆไรงี้
แต่หลักๆลบทิ้งไปละ เหตุผลหลักๆเพราะว่ามันรกตานิดนึง แล้วก็รู้สึกว่าเราดู Eng ล้วนไปเลยดีกว่า ค่อยไปแปลเอา เพราะบางทีซับแปลมาให้มันก็บิดความหมายไปเยอะพอสมควร
Amazon Kindle

อันนี้เป็น App ของทาง Amazon ที่คิดว่าหลายๆคนน่าจะรู้จักอยู่แล้ว มันคือแอพอ่านหนังสือนั่นเอง ซื้อได้ในคลิกเดียวผ่านเว็บแล้วก็อ่านได้เลย (คลิกเดียวจริงๆนะ 😂) หนังสือเยอะมาก แถมไม่ต้องแบกหนังสือไปไหนมาไหนด้วย อยู่บน Cloud ทั้งหมด
ถ้าใครกังวลว่าจะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือดี อันนี้เป็น Habit ที่เราทำอยู่ครับก็คือ "จะนอนเมื่อไหร่ก็เปิดหนังสืออ่าน แล้วพอกลับจะหลับแล้วก็นอนไปเลย" จริงๆใครนอนไม่หลับ ใช้วิธีนี้อาจจะหายได้นะ 555
สมุดกับปากกา

สำหรับ Tools สุดท้ายเป็นแนว Old School นิดนึง นั่นก็คือปากกากับกระดาษนั่นเอง เวลาที่เราเห็นศัพท์อะไร เราก็แค่จดมันลงไป แค่นี้ก็ทำให้เราจำได้มากขึ้นแล้ว ถ้าหากเจอศัพท์นั่นแล้วจำไม่ได้อีก เราก็จดมันลงไปอีกรอบ
ส่วนตัวแล้วเราจะชอบจดศัพท์และความหมายเป็นภาษาอังกฤษไปเลย รวมทั้งจด Example เข้าไปด้วย เช่นวันนี้เราดูหนังมาเราเจอคำว่า Embarrassed เราก็อาจจะจดลงไปว่า
Embarrassed - feeling or showing embarrassment. (awkward, self-conscious) e.g. I'm sorry I embarrassed you
ส่วนตัวรู้สึกว่าการจดไปทั้งประโยคเลยมันทำให้เรารู้ว่าคำนี้ใช้ใน Case ไหน แล้วเราเจอคำพูดนี้ที่ไหน เวลามาทวนทำให้เราเข้าใจความหมายและบริบทมากขึ้น (และที่สำคัญถ้าไม่รู้ว่าอ่านออกเสียงยังไงอย่าลืมกด Speak ที่ Google Translate ดูนะครับ)
สุดท้ายนี้ก็ลองหาวิธีของตัวเองดูนะครับ วิธีที่เรารู้สึกว่ามันตอบโจทย์ แล้วก็ Work กับเรามากที่สุด และพยายามอย่าไปฝืนมันมาก และที่สำคัญคืออย่าคิดว่าอังกฤษมันยาก แค่เรายังอยู่กับมันนานพอเท่านั้นเอง 😎
สุดท้ายนี้ติดตามบทความอื่นๆได้ที่ Facebook Page "The CHUN" หรือถ้าหากมีงานอะไรมาให้ทำ หรืออยากพูดคุยเพิ่มเติมสามารถ ติดต่อ มาได้ตลอดนะครับ อิอิ ❤️